คนประเภทที่ 1 ก็คือคนที่ประจบสพล.เพราะ ว่าคนพวกนี้ก็เปรียบเสมือนกับเงาที่เกาะ ตามเราอยู่แต่เงานั้นไม่มีเลือดไม่มี เนื้อไม่เคยยืนเคียงข้างยามที่เราล้มลงคน ที่ชอบประจบก็จะมองทุกสิ่งผ่านสายตาของผล ประโยชน์เขาจะเอาใจเฉพาะคนที่มีอำนาจเอา ใจเฉพาะคนที่เขาคิดว่าจะได้อะไรกลับคืนมา ถ้าหากวันนึงเราไม่สามารถให้ประโยชน์เขา ได้เขาก็จะหันหลังให้ทันทีราวกับว่าไม่ เคยรู้จักกันขงเบ้งเตือนเอาไว้นะคะว่าคน พวกนี้หากอยู่ในองค์กรก็จะเป็นเหมือนกับ เชื้อร้ายที่คอยบ่อนทำลายไม่ได้ช่วยให้ กลุ่มเข้มแข็งขึ้นมาแต่กลับทำให้เสียชื่อ เสียงเพราะว่าสิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่เพื่อ สวดรวมแต่เพื่อเอาตัวเองให้รอดล้วนๆเลย ค่ะลองคิดดูนะคะคนที่วันนี้มายกมือไหว้ เราพูดคำจาหวานหูมากแต่พอเจอศัตรูเขากลับ ไปจับมือศัตรูยอมทรยศเพียงเพื่อที่จะ รักษาผลประโยชน์ส่วนตัวแบบนี้จะเรียกว่า เพื่อนแท้ได้ยังไงจริงมั้ยคะส่วนในชีวิต จริงคนที่ประจบก็คือคนที่พูดเพราะแต่ใจ ไม่ตรงกับปากเวลาที่มีงานเขาไม่ได้ทำ อย่างเต็มที่แต่รู้จักหาทางให้เจ้านาย ชื่นชมเวลาที่มีปัญหาเขาก็ไม่ยอมรับผิด แต่คอยโยนความผิดไปให้กับคนอื่นแล้วก็เอา ตัวรอดเสมอมาถ้าเราเผลอไปคบสนิทด้วยวัน นึงความชิบหายก็จะตามมาอย่างไม่ทันตั้ง ตัวเพราะว่าเขาไม่เคยจริงใจกับใครเลยเขา มีแต่จริงใจกับตัวเองเท่านั้นขงเบ้งถึง ได้บอกนะคะว่าคนประเภทนี้จะต้องเว้นระยะ ให้อยู่ไกลอย่าให้เข้ามาอยู่ในวงในของ ชีวิตอย่าให้มาเป็นเพื่อนสนิทเพราะว่าผล สุดท้ายเราจะเป็นฝ่ายเสียหายเองทั้งหมด
คนประเภทที่ 2 ก็คือคนที่คอยจับผิดคนอื่น ตลอดเวลาคนพวกนี้เปรียบเสมือนกับไฟที่คอย ส่องหาความมืดในคนอื่นแต่ไม่เคยหันกลับมา ส่องตัวเองคนที่มีนิสัยจับผิดเขาจะทำ เรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่อง ที่ควรจะจบลงง่ายๆกลับกลายเป็นถูกขยายให้ เป็นไฟลามทุ่งยุแหย่คนนึงให้โกรธอีกคนนึง จนเกิดความแตกแยกในหมู่คณะทั้งที่แท้จริง แล้วไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญเลยขงเบ้งเตือน ไว้นะคะว่าคนแบบนี้หากอยู่ในกองทัพก็จะทำ ให้กองทัพไร้ขวัญหากอยู่ในบ้านเมืองก็จะ ทำให้ราษฎรไม่สามัคคีหากอยู่ในองค์กรก็จะ ทำให้ชื่อเสียงมัวหมองเพราะว่าเขาไม่เคย เห็นความผิดของตนเองเลยแม้แต่น้อยแต่กลับ ทำให้เป็นเรื่องเล็กน้อยเสมอลองคิดดูนะคะ ถ้าในที่ทำงานมีใครสักคนที่คอยเพ่งโทษ เพื่อนร่วมงานทุกวันแทนที่จะช่วยหาทางแก้ กลับทำตัวเหมือนเป็นผู้พิพากษาตลอดเวลา แล้วแบบนี้บรรยากาศจะสงบได้ยังไงคนอื่นจะ ทำงานเต็มที่ได้ยังไงสุดท้ายแล้วทีมก็จะ เต็มไปด้วยความหวาดระแวงไม่มีใครเชื่อใจ ใครได้เลยชีวิตจริงก็ไม่ต่างกันคนที่คอย แตะจับผิดมักจะพูดเก่งแต่ไม่เคยลงมือช่วย แก้ไขเห็นแต่จุดบกพร่องแต่แต่ไม่เคยเห็น คุณค่าคนที่มีจิตใจเช่นนี้จะนำพาแตะความ วุ่นวายเข้ามาทำให้เราสูญเสียเวลาและก็ พลังชีวิตโดยใช้เหตุเพราะฉะนั้นขงเบ้งถึง ได้สอนนะคะว่าอย่าให้คนประเภทนี้เข้ามา อยู่ใกล้ใจเราอย่าให้เขามีอำนาจในการ กำหนดเส้นทางของเราเพราะถ้าเกิดว่าเผลอไป สนิทด้วยวันนึงเราก็จะถูกเขาเพ่งโทษไม่ ต่างจากคนอื่นจงอยู่ให้ห่างตั้งแต่ต้นจะ ได้ไม่ต้องมานั่งแก้ปัญหาทีหลังนะคะ
คน ประเภทที่ 3 ก็คือคนที่สร้างเรื่องเกิน จริงเพราะว่าคำพูดที่บิดเบือนแม้ว่าจะ เพียงน้อยนิดก็อาจจะเกาะให้เกิดเพลิง สงครามได้คนที่มีนิสัยสร้างเรื่องเกิน จริงไม่ได้พูดตามความจริงทั้งหมดเขามักจะ เสริมเติมแต่งให้ดูน่าตื่นเต้นกว่าความ เป็นจริงพูดเพียงแค่ครึ่งเดียวแต่ทำให้คน ฟังเชื่อ 100% เรื่องเล็กก็กลายเป็น เรื่องใหญ่เรื่องปกติธรรมดาก็กลายเป็น ความผิดร้ายแรงเรื่องดีๆก็ถูกเปลี่ยนให้ กลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจขงเบ้ง เตือนนะคะว่าถ้าหากเราคบกับคนแบบนี้ก็จะ นำความเดือดร้อนมาให้แน่แท้เพราะว่าเมื่อ เขาเล่าเรื่องราวของเราไปให้คนอื่นฟังก็ จะไม่ใช่เรื่องเดิมอีกต่อไปมักจะถูกแต่ง สีตีไข่จนกลายเป็นสิ่งที่บั่นถอนชื่อ เสียงและก็ทำลายความน่าเชื่อถือในสายตา ของคนอื่นลองคิดดูนะคะถ้าเกิดว่าในองค์กร มีใครสักคนที่ชอบเอาเรื่องเล็กๆไปขยายต่อ อย่างเช่นเพื่อนมาทำงานสาย 1 วันกลับถูก เอาไปเล่าแบบปากต่อปากจนกลายเป็นว่าคนนี้ ขี้เกียจเป็นประจำหรือว่าหัวหน้าอาจจะ ตำหนิเล็กน้อยแต่เอาไปบอกคนอื่นว่าถูกด่า จนเสียๆหายถ้าเป็นแบบนี้นะคะไม่เพียงแต่ สร้างความเข้าใจผิดแต่ยังบั่นทอนกำลังใจ และก็ทำให้เกิดความแตกร้าวในทีมชีวิตจริง ก็เช่นกันข่าวลือที่ผ่านปากคนนึงไปสู่อีก คนนึงยิ่งเล่าก็ยิ่งเพี้ยนยิ่งบิดเบี้ยว เหมือนกับคลื่นที่กระทบฝั่งยิ่งไกลจากต้น กำเนิดเกิดก็ยิ่งแรงยิ่งทำลายเพราะฉะนั้น ถ้าหากพบคนที่ชอบสร้างเรื่องเกินจริงจะ ต้องเว้นระยะห่างอย่าให้เขาเข้ามาเป็นคน สนิทอย่าให้เขามีอำนาจในการกำหนดภาพ ลักษณ์ของเราถ้าหากว่าคบไว้จะไม่ต่างจาก การยกกุญแจบ้านให้โจรเพราะเขาสามารถเปิด ประตูมาทำลายชื่อเสียงของเราได้ทุกเมื่อ นั่นเอง
คนประเภทที่ 4 ก็คือคนที่ชอบเรียก ร้องความสนใจคนแบบนี้เขาไม่ได้ทำเพราะมี เป้าหมายไม่ได้ทำเพราะว่ามีคุณธรรมทำแต่ ทำเพราะว่าอยากจะให้คนหันมามองตนเองก็ เท่านั้นคนที่ชอบเรียกร้องความสนใจมักจะ ใช้วิธีที่เกินขอบเขตทำสิ่งที่แตกต่าง เกินพอดีบางครั้งถึงขั้นรุนแรงสร้างความ เดือดร้อนให้กับคนรอบข้างเพียงเพื่อให้ตน เองได้เชื่อว่าโดดเด่นและก็แตกต่างขงเบ้ง ได้เปรียบเอาไว้ว่าสิ่งนี้ก็เหมือนกับ เปลวไฟที่ถูกจุดขึ้นท่ามกลางทุ่งหญ้าแม้ ว่ามันจะสว่างแต่ก็เผาผลาญทุกอย่างรอบตัว ถ้าหากคบไว้เป็นมิตรผลที่ตามมาก็คือความ วุ่นวายที่ไม่รู้จบสำหรับในองค์กรนะคะคน แบบนี้ก็จะชอบทำอะไรที่เรียกร้องสายตาคน อื่นอย่างเช่นทำงานเสียงดังเกินจำเป็นพูด เกินจริงเพื่อที่จะให้คนเชื่อว่าตนเอง สำคัญกว่าที่เป็นจริงหรือว่าสร้างปัญหา เล็กๆให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เพื่อให้ทุกคน หันมาสนใจว่าเขาคือคนที่กล้าแก้ปัญหาทั้ง ที่แท้จริงแล้วเขาเป็นตัวก่อปัญหาซะเองใน ชีวิตจริงคนที่หิวแสงแบบนี้ก็มักจะใช้คน อื่นเป็นบันไดก่อความวุ่นวายแล้วก็ปล่อย ให้คนอื่นต้องมาเก็บกวาดเขาจะไม่สนว่าคน อื่นจะเหนื่อยหรือว่าจะเสียหายแค่ไหนขอ เพียงให้ตัวเองได้อยู่ในจุดที่คนอื่นมอง เห็นขงเบ้งได้เตือนไว้นะคะว่าหากให้คนแบบ นี้อยู่ใกล้วันนึงเขาก็จะนำภัยใหญ่หลวงมา ให้เพราะความปรารถนาที่อยากจะโดดเด่นนั้น ไม่เคยหยุดนิ่งเขาจะทำทุกทางให้ตัวเองได้ เป็นศูนย์กลางแม้ว่าจะต้องแลกด้วยการ ทำลายชื่อเสียงของเพื่อนหรือว่าความสงบ สุขของทีมเพราะฉะนั้นถ้าหากคุณเจอคนที่ เอาแต่เรียกร้องความสนใจก็จงเว้นระยะห่าง เอาไว้อย่าให้เข้ามาอยู่ในวงในของคุณอย่า ให้เขามามีอำนาจเหนือชีวิตและก็การงานของ เราเพราะว่าอยู่ใกล้เมื่อไหร่เราก็จะถูก ใช้เป็นเครื่องมือและสิ่งที่จะเหลือไว้ ให้เราก็มีเพียงแค่ความวุ่นวายและก็ความ เสียหายเท่านั้น
คนประเภทที่ 5 คือคนที่ ชอบแบ่งพรรคแบ่งพวกคนเหล่านี้ไม่ได้ทำ เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวแต่ทำเพื่อผล ประโยชน์ของตัวเองเท่านั้นคนที่ชอบแบ่ง พรรคแบ่งพวกเขามักจะหาวิธีสร้างกลุ่มเล็ก ๆขึ้นมาแล้วก็แยกคนอื่นออกเป็นฝ่ายตรง ข้ามพวกเขาใช้การใส่ร้ายป้ายสีทำให้คนภาย นอกกลายเป็นศัตรูในสายตาของคนหมู่มากสิ่ง ที่พวกเขาทำไม่ใช่เพื่อความถูกต้องแต่ เพื่อให้ตนเองได้มีอำนาจเหนือกลุ่มขงเบ้ง ก็เปรียบไว้นะคะว่าคนพวกนี้ก็เป็นเหมือน กับหนอนที่กัดกินจากภายในของลำต้นไม้ใหญ่ ภายนอกต้นไม้ยังดูแข็งแรงดีแต่ภายในนั้น ถูกกัดกร่อนจนผุพังวันใดที่ลมแรงพัดมาต้น ไม้นั้นก็หักโคนได้ง่ายดายเพราะว่าถูก ทำลายจากข้างในมานานแล้วอย่างในองค์กรคน ประเภทนี้ก็จะทำให้ทีมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พนักงานไม่ไว้ใจกันแทนที่จะร่วมแรงร่วมใจ กลับกลายเป็นแบ่งฝักแบ่งฝ่ายคอยจับผิดคอย แขวะกันแล้วก็คอยเหยียบซ้ำเพื่อที่จะยก ตัวเองให้สูงขึ้นที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ พวกเขาจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้นแต่จะหา ทางทำลายฝั่งตรงข้ามให้หมดสิ้นเพื่อที่จะ สร้างอำนาจให้ตัวเองอย่างถาวรในชีวิตจริง ถ้าหากว่าเราเผลอไปคบกับคนแบบนี้วันนึง เราเองก็อาจจะถูกผลักไปเป็นคนนอกกลุ่มได้ ไม่ยากเมื่อถึงตอนนั้นสิ่งที่เคยเป็น มิตรภาพก็จะกลายเป็นหอกที่ไว้ทิ่มแทงเรา จากด้านหลังขงเบ้งได้กล่าวไว้ว่าฉลาดแต่ เข้าข้างคนผิดชีวิตก็บัดซบฉลาดแต่เข้ากับ ใครไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์ฉลาดแต่ไร้คุณธรรม ก็ไม่ได้ทำให้เจริญนี่คือคำเตือนที่ สามารถใช้ได้ไม่ว่าจะยุคไหนก็ตามเพราะ เมื่อเรามีคนแบบนี้อยู่ใกล้ๆความสามัคคี ก็จะหายไปความวุ่นวายจะเข้ามาแทนและสิ่ง ที่จะเสียที่สุดก็คือชื่อเสียงของกลุ่ม ที่เราสังกัดอยู่นั่นเองดังนั้นนะคะถ้า หากเจอคนที่ชอบแบ่งพรรคแบ่งพวกจงอยู่ให้ ห่างเว้นระยะไว้อย่าเผลอเไปหลงคารมของเขา เพราะไม่เพียงแต่เราจะไม่ได้อะไรกลับมา แต่สิ่งที่ได้แน่ๆก็คือปัญหาที่ตามมาไม่ รู้จบ
ข้อ 6 คนที่ชอบด่าคนอื่นให้เราฟัง เพราะว่าคนที่เอาแต่ด่าคนอื่นต่อหน้าเรา วันนึงเขาก็พร้อมที่จะด่าเราให้กับคนอื่น ฟังเช่นกันคนที่มีนิสัยเช่นนี้ก็เปรียบ เหมือนกับลมพิษที่พัดผ่านไปทางไหนที่นั่น ก็เต็มไปด้วยความคันความร้อนรุ่มและก็ ความเดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนร่วมงานหรือว่าคู่ชีวิตเขาก็ยัง กล้าด่าหรือว่านินทาให้เราฟังแล้วคุณคิด คะว่าวันนึงคุณก็ต้องโดนบ้างขงเบ้งเตือน ไว้ว่าคนปากร้ายเช่นนี้ถือว่าเป็นภัย เงียบที่กัดกร่อนความไว้วางใจถ้าหากเรา เผลอไปสนิทวันนึงความสัมพันธ์ก็จะกลาย เป็นเชือกที่รัดคอเราเองเพราะว่าเขาใช้ ปากเป็นอาวุธฟันไม่เลือกว่าจะเป็นศัตรู หรือว่ามิตรลองนึกภาพดูนะคะวันนี้เขามา นั่งด่าคนอื่นให้เราฟังอย่างเมา พรุ่งนี้เมื่อเขาผิดใจกับเราเรื่องราวของ เราก็จะถูกเอาไปเล่าต่อในวงเล่าวงเพื่อน หรือวงสังคมต่างๆจนชื่อเสียงของเราถูกย่ำ ยีโดยที่ไม่เหลืออะไรเลยที่น่ากลัวก็คือ คนฟังมักจะเชื่อแบบนี้ง่ายๆเพราะเขาพูด อย่างมั่นใจเล่าอย่างเอร็ดอร่อยทั้งที่ ความจริงอาจจะบิดเบือนจนไม่เหลือเค้าเดิม ในองค์กรนะคะถ้าหากมีคนประเภทนี้อยู่ก็จะ ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยพิษด่าคนนั้นให้ คนนี้ฟังใส่ไปคนนี้ให้คนนั้นเกลียดสุด ท้ายทีมงานก็แตกแยกความเชื่อใจพังทลายและ สิ่งที่หายไปมากที่สุดก็คือชื่อเสียงของ องค์กรนั่นเองคงเบ้งถึงได้เตือนเอาไว้ว่า คนที่ใช้คำพูดเป็นอาวุธทำลายก็ไม่ต่าง อะไรกับศัตรูที่แฝงกายในคราบมิตรอยู่ใกล้ เมื่อไหร่ความชิบหายก็จะมาเยือนอย่างแน่ นอนดังนั้นถ้าหากเจอคนที่ชอบด่าคนอื่นให้ เราฟังจงถอยห่างอย่าเปิดหูรับพิษอย่าเปิด ใจให้ความสัมพันธลวงเพราะคบไปก็มีแต่ขาด ทุนทั้งน้ำใจทั้งชื่อเสียงและก็ทั้งเวลา ชีวิต
ข้อที่ 7 คนที่ชอบเอาเปรียบตลอดเวลา เขาจะดูดกลืนเราเหมือนกับปลิงที่เกาะ เลือดคนที่เอาเปรียบเป็นนิสัยไม่ว่าจะ เป็นเรื่องเล็กหรือว่าเรื่องใหญ่เขาจะมอง หาช่องทางที่จะได้ประโยชน์ตลอดโดยไม่สนใจ เลยว่าคนอื่นจะต้องเสียอะไรไปบ้างไม่ว่า จะเป็นการยืมเงินก็ไม่คืนถือว่าเป็น เรื่องปกติเขาใช้แรงเราแต่ไม่เคยสำนึกใน บุญคุณพูดจาหวาผ่านล้อมให้เราช่วยเหลือ แต่พอถึงเวลาที่เราต้องการกลับก็ไม่เคย โผล่หน้ามาช่วยขงเบ้งได้เปรียบคนประเภท นี้เหมือนกับน้ำที่รั่วไหลออกจากโอ่งทีละ หยดตอนแรกเราอาจจะไม่ได้รู้สึกแต่เมื่อ เวลาผ่านไปความเต็มความมั่นคงในชีวิตของ เราก็จะถูกสูบไปจนแห้งหมดสิ่งที่เหลือก็ คือความเหนื่อยล้าและก็หัวใจที่ว่างเปล่า ในองค์กรนะคะถ้าหากว่ามีคนเช่นนี้อยู่ ร่วมทีมก็ถือว่าเป็นตัวถ่วงที่สร้างความ ไม่ยุติธรรมทำเขาไม่เคยทำงานอย่างเต็มที่ แต่รู้จักหาผลประโยชน์จากความพยายามของคน อื่นคนที่ลงแรงจริงกลับไม่ได้รับเครดิต ส่วนเขากลับยืนอยู่หน้าฉากรับคำชมทั้งที่ ไม่ได้ทำอะไรเลยพอนานวันเข้าความสามัคคี ในองค์กรก็ถูกทำลายและชื่อเสียงก็เสียหาย เพราะว่าคนภายนอกมองเห็นแต่ภาพลวงส่วนใน ชีวิตจริงคนที่ชอบเอาเปรียบก็ไม่ต่างอะไร จากโจรที่เข้ามาในบ้านเขาไม่ได้หยิบเอา ของเราไปทีเดียวแต่จะหยิบหยิบเล็กหยิบ น้อยจนวันนึงเราต้องตกใจว่าทุกอย่างที่ เรามีนั้นถูกสูบไปจนหมดเกลี้ยงเพราะ ฉะนั้นนะคะขงเบ้งถึงได้เตือนอย่างหนักว่า คนที่เอาเปรียบไม่ควรคบเด็ดขาดเราไม่ควร ไว้ใจและก็ไม่ควรให้อยู่ใกล้ด้วยเพราะถ้า หากว่าเราเผลอเมื่อไหร่สิ่งที่เสียไปก็จะ ไม่มีวันได้กลับคืนมา
ข้อ 8 คนที่พูดไม่ ตรงกับใจเพราะว่าคำพูดนั้นอาจจะหอมหวาน แต่เบื้องลึกกลับซ่อนพิษร้ายที่พร้อม ทำลายได้ทุกเมื่อสำหรับคนที่พูดไม่ตรงกับ ใจมักจะปากอย่างใจอย่างปากบอกว่ารักแต่ใจ นั้นเต็มไปด้วยการแสวงหาผลประโยชน์ปากบอก ว่าห่วงใยแต่ใจกลับคิดหาทางเอาเปรียบปาก บอกว่าซื่อสัตย์แต่ความจริงพร้อมที่จะหัก หลังทันทีเมื่อมีโอกาสขงเบ้งเปรียบคนแบบ นี้เหมือนกับสะพานไม้ผุที่เราเดินข้ามอาจ จะดูเหมือนมั่นคงแต่ทุกย่างก้าวนั้นเต็ม ไปด้วยความเสี่ยงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหัก ลงไปสู่หุบเหว คนประเภทนี้ก็ไม่ต่างจากเงาที่ไม่ได้มี แก่นสารเห็นใกล้ชิดแต่ไม่เคยมั่นใจได้เลย ว่าพรุ่งนี้เขาจะยังยืนอยู่ข้างเราไหม อย่างในองค์กรนะคะคนที่พูดไม่ตรงกับใจคือ ภัยร้ายเงียบๆเขาจะสร้างภาพว่าตัวเองซื่อ สัตย์จงรักภักดีแต่เบื้องหลังกลับปล่อย ข่าวบิดเบือนทำลายเพื่อนร่วมงานให้เสีย หายเพื่อที่จะยกตัวเองให้สูงขึ้นเวลาพูด กับเจ้านายก็ทำเป็นเหมือนกับนอบน้อมแต่ ลับหลังกลับซ่อก้อนดาบที่คมกริบพร้อมที่ จะแทงใครก็ตามที่ขวางทางเขาในชีวิตจริงก็ คือการที่คบหากับคนแบบนี้ก็เหมือนกับเอา งูพิษมาเลี้ยงไว้ที่บ้านวันแรกอาจจะดู เชื่องแต่ไม่มีวันรู้เลยค่ะว่าเมื่อไหร่ เขาจะหันกลับมาฉกเราความเสียหายที่เกิด ขึ้นไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเสียงเท่านั้นแต่ คือความไว้วางใจและก็น้ำใจที่สูญสลายไป ตลอดกาลเพราะฉะนั้นขงเบ้งถึงได้เตือนว่า คนที่พูดไม่ตรงกับใจเราไม่ควรคบไม่ควรไว้ ใจแล้วก็ไม่ควรให้อยู่ใกล้เพราะคำโกหก เพียงคำเดียวอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ที่ เราสร้างมาทั้งชีวิตพังทลายไปได้ในพริบตา
ข้อที่ 9 คนที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางโลก คนประเภทนี้นะคะทุกเรื่องจะต้องวนกลับมา ที่ตัวเองทุกปัญหาของเขาสำคัญที่สุดแต่ ไม่เคยเห็นหัวใครเลยเวลาที่เราเดือดร้อน เขากลับเงียบหายเรากลับไม่รู้จักกันแต่พอ เขามีเรื่องเล็กน้อยก็เรียกร้องให้เรา ทุ่มร่วมแรงกายแรงใจช่วยเหลือเหมือนกับ โลกนี้มีแต่เขาคนเดียวขงเบ้งเปรียบไว้ว่า คนแบบนี้ก็เหมือนกับบ่อน้ำที่รับน้ำเข้า อย่างเดียวแต่ไม่เคยปล่อยน้ำออกวันนึงน้ำ ก็จะท่วมจนเน่าเหม็นเพราะว่าไม่เคยแบ่ง ปันให้ใครเลยความสัมพันธ์ที่อยู่กับเขา จึงไม่เคยสมดุลมีแต่เราที่เสียพลังฝ่าย เดียวในองค์กรนะคะถ้าหากว่ามีคนลักษณะนี้ อยู่ความสามัคคีก็จะถูกทำลายเพราะว่าทุก อย่างก็จะถูกดึงไปสนองความต้องการของเขา คนเดียวงานที่ควรจะเป็นทีมกลับถูกทำให้ กลายเป็นเวทีอวดตัวเองคนอื่นก็จะรู้สึก เหนื่อยรู้สึกหมดแรงใจและก็สุดท้ายองค์กร ก็จะเสียชื่อเสียงเพราะคนภายนอกก็จะเห็น ว่าที่นี่มีแต่ความไม่สมดุลหรืออย่างใน ชีวิตจริงคนที่เห็นแต่ตัวเองก็ไม่ต่าง อะไรจากดวงจันทร์ที่ต้องการแสงสว่างตลอด เวลาแต่ลืมไปว่าแสงนั้นไม่ใช่ของตัวเอง หากเราเผลอไปอยู่ใกล้วันนึงเราก็จะถูกดูด จนหมดพลังเหลือเพียงแค่แค่ความว่างเปล่า และก็ความเสียใจเพราะฉะนั้นนะคะขงเบ้งถึง ได้สอนไว้ว่าคนที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง โลกไม่ควรคบไม่ควรสนิทด้วยแล้วก็ไม่ควร ให้เขาเข้ามาอยู่ใกล้เราเพราะถ้าหากว่า เปิดประตูต้อนรับเมื่อไหร่สิ่งที่ได้กลับ มานั้นไม่ใช่แค่ความผูกพันแต่คือการสูญ เสียอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ข้อ 10 คือคนที่ โกรธง่ายและขาดสติคนที่โกรธง่ายก็ไม่ต่าง อะไรกับระเบิดเวลาที่ซ่อนอยู่ในห้องเดียว กันกับเราเราไม่อาจรู้เลยว่ามันจะระเบิด ออกมาเมื่อไหร่และเมื่อมันระเบิดขึ้นสิ่ง ที่ถูกทำลายไม่ใช่เพียงสิ่งรอบกายแต่รวม ถึงความสัมพันธ์ที่สั่งสมมาเป็นปีด้วยคน ประเภทนี้นะคะเวลาที่มีเรื่องเล็กน้อยเขา ก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟโมโหจนขาดสติบาง ครั้งก็ทำร้ายตัวเองและก็คนใกล้ชิดความ ผิดเพียงเสี้ยววินาทีสามารถทำให้ความ เชื่อใจที่สะสมมาเป็น 10 ปีสลายหายวับ เหมือนกับไฟลามทุ่งขงเบ้งได้เปรียบไว้นะ คะว่าคนเช่นนี้ก็คือไฟป่าตอนแรกอาจจะคิด ว่าควบคุมได้แต่พอปล่อยเพียงนิดเดียวมัน ก็จะเผาผลานทุกอย่างจนหมดสิ้นไม่ว่าจะ เป็นมิตรภาพความไว้วางใจหรือว่าอนาคตที่ เคยวางแผนไว้อย่างในองค์กรนะคะคนที่ อารมณ์ร้อนก็คือภัยร้ายเงียบเขาสามารถทำ ให้ทีมเสียกำลังใจเพียงเพราะว่าคำพูดที่ หลุดออกมาจากอารมณ์ชั่ววูบการตัดสินใจ เพียงครั้งเดียวโดยที่ไม่คิดก็สามารถ ทำลายชื่อเสียงของบริษัทที่สร้างมากว่า หลายสบปีให้พังพินาศลงได้ในพริบตาหรือว่า ในชีวิตจริงถ้าหากเราคบกับคนแบบนี้ก็ เหมือนกับเราเดินอยู่บนพื้นน้ำแข็งบางๆ ที่พร้อมจะแตกเมื่อไหร่ก็ได้เราไม่อาจจะ ผ่อนคลายไม่อาจจะไว้ใจได้เลยว่าจะปลอดภัย มหเพราะว่าทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับอารมณ์ ของเขาไม่ใช่เหตุผลไม่ใช่ความถูกต้อง เพราะฉะนั้นนะคะขงเบ้งถึงได้สอนว่าคนที่ โกรธง่ายขาดสติไม่ควรคบไม่ควรสนิทด้วยและ ก็ไม่ควรให้เขาอยู่ใกล้ตัวเราเพราะว่า ความเสียหายที่ตามมานั้นไม่ใช่แค่บาดแผล เล็กๆแต่เป็นไฟที่เผาทั้งอนาคตให้มอดไหม้ โดยที่ไม่เหลือซากเอาไว้เลย
ข้อ 11 คนที่ ไร้ความรับผิดชอบเพราะว่าคนผู้นี้เขาจะนำ ภัยมาสู่หมู่คณะได้คนแบบนี้เขาจะพูดอะไร ได้แบบง่ายดายแต่ไม่เคยคิดที่จะทำให้เป็น จริงสัญญาไว้แต่ไม่รักษาคำพูดคำพูดก็เลย กลายเป็นเพียงแค่ลมปากที่พัดผ่านไปแล้วก็ หายไปในอากาศส่งงานไม่ตรงเวลาบ้างแล้วก็ หาข้ออ้างสารพัดเพื่อที่จะปัดความผิดของ ตัวเองออกไปขงเบ้งได้เปรียบคนแบบนี้ เหมือนกับเสาหลักที่ผุภายในอาจจะดูเหมือน กับแข็งแรงแต่พอเราเอามือแตะเพียงนิด เดียวก็พังลงมาได้ถ้าหากว่าเราเอาอนาคตไป ฝากไว้กับคนประเภทนี้นะคะก็ไม่ต่างจากการ สร้างบ้านบนพื้นทรายที่จะไม่มีวันมั่นคง อย่างในองค์กรคนที่ไร้ความรับผิดชอบคือ ก้อนหินก้อนใหญ่ที่ถ่วงไม่ให้ทีมก้าวไป ข้างหน้าคนอื่นต้องเหนื่อยเพิ่มเป็นเท่า ตัวเพื่อที่จะคอยตามแก้ในสิ่งที่เขาทำ ค้างไว้งานที่ควรจะเสร็จตรงเวลากลับต้อง ล่าช้าเพราะว่าเขาไม่ยอมทำหน้าที่ให้ เสร็จความผิดพลาดเล็กๆก็เลยกลายเป็นความ เสียหายใหญ่โตแล้วก็สุดท้ายชื่อเสียงของ องค์กรก็ถูกทำลายลงอย่างน่าเสียดายหรือ อย่างในชีวิตจริงถ้าเราได้คบกับคนแบบนี้ นะคะเราก็จะกลายเป็นคนที่แบกภาระแทนเขา โดยไม่รู้ตัววันนึงเราก็จะเหนื่อยจนหมด แรงแต่เขากลับเดินได้สบายๆโดยที่ไม่ได้ รู้สึกผิดแม้แต่น้อยเพราะว่าในใจของเขา ไม่เคยคิดว่าหน้าที่นั้นคือสิ่งที่สำคัญ มีแต่หาช่องทางเอาตัวรอดจากความผิดเพราะ ฉะนั้นขงเบ้งถึงได้เตือนหนักแน่นนะคะว่า คนที่ไร้ความรับผิดชอบเราไม่ควรคบไม่ควร สนิทและก็ไม่ควรฝากชีวิตหรืออนาคตไว้ใน มือเพราะถ้าเกิดว่าเราหลงไว้ใจผลสุดท้าย สิ่งที่เสียไปก็จะไม่ใช่แค่เวลาและก็แรง กายแต่คือชื่อเสียงค่ะที่กว่าจะสามารถ สร้างมาได้กลับถูกทำลายลงในพริบตา
ข้อ 12 คือคนที่อิจฉาคนอื่นตลอดเวลาเพราะว่าความ อิจฉาริษยาเนี่ยก็เปรียบเสมือนกับไฟในอก ที่เผาเจ้าของแลก็เผาผู้ใกล้ชิดคนที่มี นิสัยอิจฉาแทนที่จะยินดีกับความสำเร็จของ เพื่อนแต่กลับคอยแขวะคอยเหน็บแนมคอยลดคุณ ค่าของคนอื่นเขามองไม่เห็นสิ่งดีๆของใคร เลยแต่จะพยายามกดหัวของคนอื่นให้อยู่ต่ำ กว่าเพื่อที่ที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกสูง ขึ้นมาคงเบ้งเตือนนะคะว่าคนที่ขี้อิจฉาก็ ไม่ต่างอะไรจากงูพิษที่กัดกินหัวใจตนเอง ก่อนแล้วก็ลามไปทำลายความสัมพันธ์กับผู้ อื่นคนแบบนี้อยู่ใกล้เมื่อไหร่ใจของเราก็ จะไม่สงบเพราะว่าเขาก็จะคอยเปรียบเทียบ คอยฉุดคอยทำให้เรารู้สึกด้อยกว่าที่เป็น อย่างในองค์กรถ้าหากว่ามีคนแบบนี้อยู่ก็ เหมือนกับมีสนิมติดอยู่กับเหล็กถึงภายนอก จะยังดูดีแต่ข้างในกำลังถูกกัดกร่อนที น้อยเขาจะไม่ปล่อยให้ใครได้ก้าวหน้าเพราะ ว่าทุกครั้งที่เพื่อนร่วมงานได้รับคำชม เขาจะรีบแขวะรีบทำให้คนนั้นดูไม่ดีในสาย ตาของคนอื่นจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความหมอง หม่นและก็ไม่ไว้วางใจกันจนสุดท้ายชื่อ เสียงของทั้งองค์กรก็จะพังเพราะความ สามัคคีนั้นถูกทำลายด้วยพิษของความ อย่างในชีวิตจริงการที่เราคบหากับคนแบบ นี้นะคะก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินทางโดยที่ มีหินหนักหนักผูกไว้อยู่ที่ข้อเท้ายิ่ง เราเดินไปข้างหน้าเขาก็จะพยายามถวกให้ช้า ลงหรือไม่ก็ฉุดให้เราล้มเพื่อที่จะไม่ให้ เราเดินไปถึงเป้าหมายได้เร็วเพราะฉะนั้น ขงเบ้งถึงได้ย้ำเตือนว่าคนที่ขี้อิจฉาคน อื่นตลอดเวลาไม่ควรคบไม่ควรสนิทและก็ไม่ ควรที่จะอยู่ใกล้ๆเพราะว่าเขาไม่ได้ทำลาย เราแค่ด้วยคำพูดแต่ทำลายเราด้วยใจที่เต็ม ไปด้วยพิษซึ่งพิษนั้นก็จะกัดกินทั้งอนาคต ความสัมพันธ์และก็ชื่อเสียงของเราโดยไม่ รู้ตัวและนี่ก็คือ 12 คนที่เราไม่ควรคบ ถ้าอยู่ใกล้เมื่อไหร่มีแต่พังแล้วก็ไม่มี อะไรดีขงเบ้งถึงเตือนไว้นะคะว่าคบคนผิด เท่ากับเสียเวลาและก็เสียทั้งอนาคต
No comments:
Post a Comment